Dark Sight : ในความมืด
...เมื่อเขาพบว่าในความมืดนั้น มักมีใครจ้องตอบกลับมาเสมอ ในทุกๆที่ ในห้องพัก ในห้องเก็บของ ...หรือแม้กระทั่ง.... ในคุก...
ผู้เข้าชมรวม
1,711
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
คืนนี้ฝนฟ้ารุนแรงเหลือเกิน
แต่ละครั้งตามด้วยเสียงฟ้าคำรามสนั่นหวั่นไหว กลั้วไปกับเสียงฝน ในห้องขังทึมๆนั้นชื้นเย็นเพราะละอองน้ำจากภายนอก และนอกจากฟ้าาแลบแล้ว ก็มีเพียงแสงสว่างเรืองๆจากห้องผู้คุมที่อยู่ไกลๆเท่านั้น ที่ทำให้พอมองอะไรได้บ้าง
ชายคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิห่มผ้ามิดชิด กำลังนั่งคุยอย่างออกรส ดูเผินๆเหมือนเพ้อเจ้อคนเดียว แต่จริงๆ แล้ว ในมุมมืดอับแสงที่สุดของห้อง มีอีกคนนั่งอยู่เป็นคู่สนทนาด้วย มองจากภายนอกหากไม่สังเกตก็แทบไม่เห็น
"...เรื่องของผมก็มีเท่านี้แหละ" ชายในส่วนสว่างของห้องกล่าวในที่สุด
ชายในมุมมืดขยับตัวอย่างอึดอัด กว่าสองปีที่ผ่านมา ในคุกนี้เขาเจอคนแปลกๆมาเยอะ ไม่เข้าใจจริงๆ คนร้ายบางคนชอบเล่าวีรเวรของตัวเองให้คนอื่นฟังเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา บางทีพวกมันคงนึกว่าเป็นเกียรติประวัติล่ะมั้ง แต่เขา(และเชื่อว่าคนส่วนใหญ่)ไม่นึกอยากเล่าเรื่องตัวเองสักนิด
"ผมน่ะ ตอนแรกก็กลัวพี่นะ คิดดูดิ ต้องมาอยู่ห้องเดียวกับคนร้ายฆ่าตัดคอ แต่พอได้มาเจอตัวจริง ผมคิดว่าพี่คงไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น...จริงๆแล้ว พี่ไปทำอีท่าไหนมากันแน่..."
"ไม่รู้จะเริ่มเล่าตรงไหน.... บางที เรื่องอาจจะเริ่มมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้..."
หลังจากนิ่งงัน ปล่อยให้ฝ่ายแรกฟังเสียง ฝนสาดซัดไปพักใหญ่ๆ คำพูดก็ค่อยๆพรั่งพรูออก
จากปากของเขา แผ่วเบา แต่ชัดเจน
------------------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว สมัยที่เขายังเด็ก
บ้านไม้สองชั้นตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งข้าวโพดกว้างใหญ่สูงท่วมหัว แสงแดดสดใส และกลิ่นไอท้องทุ่งยังติดในความทรงจำแจ่มชัด
หลังเลิกเรียนเขาชอบที่จะวิ่งเล่นลัดเลาะไปมาในไร่ โดยมีพ่อของเขาคอยไล่ตาม เด็กน้อยจินตนาการ ว่าพ่อของตัวเองเป็นสัตว์ประหลาดในการ์ตูน แล้วก็วิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย ครั้นมืดค่ำ แม่ก็จะออกมาตะโกนเรียกทั้งคู่ให้ขึ้นบ้าน กลิ่นอาหารหอมหวนลอยมาแตะจมูกทั้งที่ยังไม่ทันก้าวขึ้นบันใดด้วยซ้ำ ในบรรยากาศห่างไกลผู้คน และสงบเงียบอาจดูเหงาๆไปบ้าง แต่อันที่จริง เขาชอบอยู่แบบนี้มากกว่าความคึกคักในตัวอำเภอเสียอีก
วันหนึ่งในฤดูหนาว พ่อและแม่ของเขาต้องขนสินค้าไปส่งในตลาด เมื่อคนงานขนผลผลิตขึ้นรถบรรทุกจนหมดแล้วพ่อของเขาก็เดินมาหา
"อยู่บ้านดีๆนะลูก มีอะไรก็บอกให้พี่สมพิศนะ เดี๋ยวเย็นๆพ่อก็กลับแล้ว"
เด็กน้อยพยักหน้า กุมมือพี่สมพิศที่ว่าเอาไว้ เธอเป็นสาวใช้อายุราวยี่สิบ มาอยู่บ้านเขาเมื่อครึ่งปีก่อน ทั้งขยันขันแข็ง และเอ็นดูลูกนายจ้างเหมือนน้องแท้ๆคนหนึ่ง ทำให้พ่อแม่ของเขาถูกอกถูกใจเธอมาก เมื่อรถขนของลับสายตาไปแล้ว เธอก็หันมาทางเด็กชาย
"พี่ไปซักผ้าก่อนนะ แล้วตอนเที่ยงอยากทานอะไรก็บอกนะ พี่จะทำให้"
"แล้วตอนบ่ายพี่จะว่างมั้ยฮะ"
"ว่างจ้ะ เอาไว้แดดร่มๆก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปเล่นด้วย"
พูดจบเธอก็เดินไปทางที่ซักผ้า บ้านของเขาค่อนข้างไกลตัวหมู่บ้าน นานๆครั้งจึงจะมีเพื่อนที่โรงเรียนมาเล่นด้วยสักครั้ง ดังนั้น ปกติเขาจึงมีสาวใช้คนนี้เป็นเพื่อนเล่นเสมอสักพัก เสียงขยี้ผ้าครืดคราดก็ดังมาบอกให้รู้ว่าเธอเริ่มงาน ของเธอแล้ว
วันนี้แดดดีจริงๆด้วย...
เด็กน้อยพึมพำคิดในใจ แล้วถลาเข้าไปในทุ่งข้าวโพดทันที
เขาชอบแดด.... ชอบความเปิดเผยและสดชื่นของมัน ยิ่งอากาศเย็นๆกับแดดอุ่นๆ ด้วยแล้วล่ะก็ เป็นของโปรดของเขาเลยทีเดียว เด็กชายวิ่งลัดเลาะไปมารอบๆบ้าน นานครั้งเสียงสะบัดผ้า พรึบๆ แว่วมาเป็นระยะๆ... แดดจัดจ้าขึ้น เรื่อยๆ เด็กน้อยนั่งพักเหนื่อยใต้ร่มไม้ มองดูใบข้าวโพดเหลืองอร่าม ท้องฟ้าสดใสสีน้ำเงินเข้มสวยงามนัก ที่เส้นแบ่งพื้นที่ สองสีนั้น บ้านไม้ของเขาโดดเด่นเห็นแต่ไกล
เที่ยงวันแล้ว ท้องที่เริ่มหิวพาให้สองขาเดินกลับบ้านทั้งที่อยากเล่นต่ออีกสักหน่อย เด็กชายลัดเลาะไปตามทางเดินแคบๆ ได้ไม่นานก็มาถึงบ้าน พอก้าวเข้าในร่มชายคา เขาก็รู้สึกได้ถึงความเงียบอย่างผิดปกติ เสียงธรรมชาติต่างๆที่ดังเบาๆ เหมือนกับนัดกันหยุดโดยกะทันหัน ที่สำคัญเสียงซักผ้าที่ได้ยินแว่วๆนั้นเงียบหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
" ตอนเที่ยงมีอะไรกินมั่งครับ "
เด็กชายเดินทอดน่องไปตรงลานซักผ้าหลังบ้าน กาละมังและกองผ้าค้างอยู่ตรงนั้น แต่ไม่มีวี่แววของคนซัก เขาขึ้นไปบนบ้าน ไล่ดูตามห้องต่างๆจนทั่ว แต่ก็ไม่มีใครบนนั้น
เงียบงันจนน่ากลัว ชั่วขณะหนึ่ง เขารู้สึกว่าตัวเองอยู่ในบ้านคนเดียวอย่างไม่มีเหตุผล เด็กน้อยรู้สึกราวกับบ้านกว้างขึ้นหลายเท่า หรือ เธอกำลังแกล้งเขาให้กลัว ด้วยการเล่นซ่อนหา? แล้วเด็กน้อยก็นึกขึ้นมาได้ว่า ยังมีอีกที่ที่ยังไม่ได้ลองหาดู
ใต้ถุนบ้านของเขามีลักษณะเป็นโถงกว้างมีกำแพงล้อมรอบ ภายในแบ่งเป็นห้องเล็กห้องน้อยไว้เก็บข้าวของสารพัด ประตูหน้าต่างน้อยบานทำให้มันดูทึมทึบ เมื่อก้าวเข้ามาภายใน แดดอบอุ่นในฤดูหนาว กลับเปลี่ยนเป็นเย็นวูบกะทันหัน สัมผัสยะเยือกนั้นลูบไล้ไปตามผิวกายเขาอย่างประหลาด ท่ามกลางกองสิ่งของ และอุปกรณ์ฝุ่นจับหนา ดูเหมือนไม่มีร่องรอยของใคร แต่ที่มุมห้องใต้ถุนมีห้องย่อยเล็กๆสำหรับ ยาอันตรายอยู่ ปกติพ่อปิดไว้เสมอ แต่น่าแปลกที่ตอนนี้ประตูห้องนั้นเปิดกว้าง
เขาเดิน ใกล้ห้องนั้นเข้าไปเรื่อยๆ ลืมสนิทกระทั่งสวิทช์ไฟที่อยู่ตรงทางเข้า ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ ซอก หลืบก็ดูเหมือนจะสลัวมากขึ้นเท่านั้น... ก่อนจะถึงหน้าห้องนั่นแค่พริบตาเดียว กลิ่นคาวหนักๆก็ลอยมาปะจมูก แต่ก่อนจะทัน คิดอะไร เขาก็มาหยุดอยู่หน้าห้องเสียแล้ว
ดำสนิท... ราวกับหลุมลึกในคืนเดือนมืด
ในห้องเล็กๆพื้นที่เท่าเตียงคู่นั้นไม่มีทั้งหน้าต่าง หรือช่องระบายใดๆทั้งสิ้น แต่แปลกนัก เขารู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างใน ความมืดนั้น แต่เพียงชั่ววูบเดียวที่เพ่งมอง กลิ่นคาวคลุ้งลอยอวลขึ้นมาอีกครั้ง เด็กชายสะท้านวูบไปทั้งกาย สายตายังไม่ชินกับแสงอันน้อยนิด และเขาก็ยัง มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แต่ความรู้สึกมันบอกว่าในก้อนสีดำสนิทนั่น พี่เลี้ยงสาวของเขาอยู่ในนั้น เด็กชายก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่สายตายังถูกตรึงไว้กับอะไรบางอย่าง
เขารู้สึกว่าเธอกำลังจ้องตอบกลับมาจากในความมืดมิด!
แต่แทบจะทันทีหลังจากรู้สึกเช่นนั้น เด็กชายรู้ด้วยสัมผัสบางอย่าง สั่นสะท้านเข้าไปในใจว่า พี่เลี้ยงสาวของเขา ไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว เธอกำลังจ้องมองเขาก็จริง ทว่าตำแหน่งศีรษะเธอนั้นอยู่บนพื้น ขณะที่ดูเหมือนว่าร่างกาย และแขนขาจะชี้แยกไปคนละทิศทาง หรืออาจเรียกได้ว่ากองรวมกันบนพื้นเสียมากกว่า
และทั้งหมดนั้นจมอยู่ในความดำมืดน่าสยดสยองนั้น
------------------------------------------------------------------------------------------
ฝนยังกระหน่ำอยู่ภายนอก ลมชื้นเย็นส่งเสียงอื้ออึงลอดช่องเข้ามาทำให้สั่นสะท้านเป็นระยะๆ
"...สุดท้ายพ่อผมก็กลับมาเจอเธอนอนอยู่ในนั้นจริงๆ ดูเหมือนว่าแฟนเก่าของพี่เลี้ยงผม จะตามมามีปากเสียง กับเธอ แล้วฆ่าหั่นเธอไว้ในห้องนั่น...."
เงียบไปครู่ใหญ่
"เรื่องของพี่เนี่ย... เอ่อ... แปลกดีนะ แล้วตกลงว่าพี่มาเข้าคุกนี่ได้ยังไงล่ะ..."
คนเล่าพยายามสะกดสีหน้าไม่พอใจเอาไว้ แต่จริงๆอาจไม่จำเป็นนักเพราะในมุมที่เขานั่งอยู่นั้น มืดจน ใครก็ไม่อาจมองเห็นตัวของเขาได้โดยง่าย
"ก็เพราะเรื่องนั้น ทำให้ผมกลัวความมืดมาตลอด... ผมนอนเปิดไฟ และไม่กล้าไปไหนกลางคืนตลอดเวลา หลายปี... จริงๆ พอเข้าเรียนมหาลัยได้ ผมก็คิดว่าผมหายสนิทแล้ว แต่ก็ไม่..."
เขาเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะเริ่มเล่าต่ออีกครั้ง
--------------------------------------------------------------------------------------------
ในตอนนั้น หากมีคนถาม มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเขากันแน่ ชายหนุ่มเองก็คงไม่แน่ใจนัก
เพียงแค่ปีสอง การเรียนก็ย่ำแย่จนถึงขีดสุด แล้วเงินที่ทางบ้านส่งมาให้ก็ไม่เคยเหลือถึงปลายเดือนเลยสักครั้ง แน่ละ ข้ออ้างส่วนใหญ่ และส่วนตัวของเขาและเพื่อนๆ คือ...
...ก็แสงสีในเมืองหลวงมันสนุกจริงๆนี่หว่า...
ไม่นานนัก เงินที่เริ่มติดค้างคนอื่นๆไว้ก็เริ่มพบทางตัน ไม่สามารถไปหยิบยืมใครๆได้อีก เขาเองไม่เคย คิดเลยว่าการใช้จ่ายอย่างนั้น จะทำให้คนๆหนึ่งรู้สึกอับจนได้ถึงเพียงนี้ เวลาเจอหน้าคนที่ติดหนี้ไว้ก็ราวกับนักมวยที่ โดนต้อนจนมุม ได้แต่ปัดป้องไปวันๆ... ต้องสู้กับความงี่เง่าของตัวเองเหมือนหมาจนตรอก ยิ่งถ้าพ่อแม่รู้เข้าละก็... เขาไม่อยากให้ท่านรับรู้ปัญหาพวกนี้
เพื่อนที่สนิทบางคนแนะนำว่า เขาควรแก้ปัญหาที่ต้นตอ ไม่ใช่หยิบยืมคนหนึ่งไปใช้หนี้อีกคนแบบนี้ ทว่านิสิตสิ้นคิดอย่างเขาหน้ามืดตามัวไปแล้ว และดูเหมือนจะเลือกทางที่ทำให้ตัวเองลำบากขึ้นไปอีก ตั้งแต่เข้ามาเรียนต่อ เขาก็ได้ลองอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยคิดอยากทำมาก่อนไปแล้วนี่นะ ถ้าจะต้องทำเพิ่มอีกสักอย่างสองอย่างจะเป็นไรไป ยิ่งถ้ากลับมานึกดูดีๆ มันก็ดูเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยจะตายไป
ก็แค่ งัดบานพับนิดหน่อย กับหยิบข้าวของในห้องคนอื่นเท่านั้นเอง ดีกว่าโดนเจ้าหนี้รายใหญ่สามรายตามกระทืบล่ะน่า... นักศึกษาหนุ่มปลอบใจตัวเองอย่างหวาดหวั่น
ราวกับมีความมืดมิดปิดบังไม่ให้เขาเห็น ต้นตอ ของปัญหาเหล่านั้น
หลังเลิกเรียนวันหนึ่ง อากาศร้อนอบอ้าวคล้ายฝนจะตก ทั้งยังมืดเร็วผิดปกติ คงเป็นเพราะเมฆทึบแน่นแผ่เบื้องบน ชายหนุ่มเดินสวนกับผู้คนมากหน้าหลายตาที่กำลังไปร่วมกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย เขาเหลือบมองผ่านๆ แต่ละคนล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้มราวกับไม่เคยมีเรื่องทุกข์ร้อนในโลกนี้
แปลกเหลือเกิน ยิ่งเดินย้อนไปทางหอพักนิสิตเท่าไหร่
เขาก็ยิ่งรู้สึกราวกับอยู่คนละโลกกับคนพวกนั้นมากขึ้นเท่านั้น
นิสิตผู้จนตรอกเข้าไปหลบอยู่ในห้องตัวเอง รอคอยเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ... ภายนอก ฟ้ามืดสนิท และเสียงเอะอะในหอพักชายก็ค่อยๆเบาลง จนเกือบจะเป็นเงียบงัน
ทุกคนคงไปร่วมงานสังสรรค์กันเกือบหมดแล้ว เขาบอกกับตัวเอง แล้วหยิบอุปกรณ์ซ่อนในกางเกงเดินออกจากห้องช้าๆ
หอพักชาย สภาพกลางเก่ากลางใหม่ บัดนี้ตกอยู่ในแสงไฟสลัวที่เปิดแบบดวงเว้นดวง ชายหนุ่มสาวเท้าเร็วๆ ขึ้นไปสองชั้น ห้องที่เขาหมายตาไว้นอกจากเจ้าของจะกลับต่างจังหวัดแล้ว ชั้นนี้ยังมีคนพักไม่เต็มอีกด้วย และเพื่อความ แน่นอนยิ่งขึ้นไปอีก เขายังรองานประจำปีเพื่อให้เหลือคนน้อยที่สุดอีกต่างหาก
ในห้องที่เป็นเป้าหมายนั้นปิดไฟมืด แต่แปลกนัก กุญแจที่คล้องหน้าประตูกลับหายไปเหลือเพียงลูกบิดล็อค เอาไว้เฉยๆ หรือกุญแจคล้องนั้นเป็นห้องอื่นที่เขาเคยไปดูมา? แต่เอาเถอะ เมื่อการป้องกันเหลือเพียงชั้นเดียวงาน ของเขาก็ง่ายขึ้นเยอะ นักศึกษาหนุ่มขยับอุปกรณ์ในมืออย่างเร่งรีบจนเหงื่อออกชุ่มเต็มฝ่ามือ ส่วนในหัวก็หวั่นวิตกไปสารพัด เขาแทบไม่ทันสังเกตเลยว่าอากาศอบอ้าวนั้น ค่อยๆเย็นลงตั้งแต่ตอนไหน และเสียงจิ้งหรีดเบาๆข้างนอกเงียบ สนิทลงเมื่อใด
เสียงแกรกเบาๆ บอกให้รู้ว่าล็อคถูกปลดออกแล้ว เขามองซ้ายขวาไม่มีแม้เงาของสิ่งมีชีวิต แต่แสงไฟนีออน เสียที่ดับๆติดๆตรงสุดทางเดินนั้นนั้น ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆแล่นปราดเข้ามา ชายหนุ่มรีบกลับมาจดจ่อกับห้องตรงหน้า เขาแง้มประตูออกเล็กน้อยแล้วเบี่ยงกายเข้าไปแล้วปิดประตูตามหลังอย่างรวดเร็ว
ห้องพักนั้น กะทัดรัด หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็ชวนอึดอัด ความมืดแทบไร้แสงทำให้เขาต้องรีบควานหาสวิทช์ไฟ เป็นอันดับแรก
พลัน! จมูกก็ปะเข้ากับกลิ่นที่คุ้นเคย ชายหนุ่มเบิกตากว้างในความมืด กลิ่นนี้เมื่อยังเล็กเขาเคยเจอมาหนหนึ่งแล้วแต่ไม่ตระหนักว่ามันคืออะไร บัดนี้เขาไม่สงสัยอีกต่อไป สิ่งที่เกิดต่อจากนั้นโดยไม่มีการเตือน ความทรงจำที่น่าแสยงขนนั้นเอ่อล้นราวกับอาหารเก่าที่ขย้อนขึ้นมาจุกที่คอหอย นิสิตหนุ่มผวาพิงกำแพง มือเท้าเหมือนเป็นง่อย ไปชั่วครู่ แล้วความงุนงงก็เปลี่ยนเป็นความกลัวสุดขีด เมื่อเมฆภายนอกเคลื่อนตัวออกจากกัน แสงจางๆของจันทร์ข้างแรม เผยให้เห็นอะไรบางอย่างตั้งอยู่กลางห้อง
เขาตัวแข็งทื่อ ไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายได้แม้สักนิด
ร่างหนึ่งนั่งทับส้นอยู่บนเบาะที่พื้น ไม่ไหวติง ไม่ส่งเสียง ไม่มีอาการคุกคามใดๆบ่งชี้ว่าไม่พอใจที่ถูกบุกรุก แต่นั่นแหละที่ทำให้ชายหนุ่มแทบสิ้นสติ... ทุกส่วนจากคอหอยลงมามีเลือดเกรอะกรัง ย้อมเสื้อยืด สีขาวจนแดงก่ำ และส่วนที่เหนือคอขึ้นไป...ว่างเปล่า....
ไม่มีหัวบนนั้น!
เขาพยายามผลักดันความรู้สึกนั้นลงไป ทรงกายขึ้นมาประจันหน้ากับศพลึกลับนั้น นี่เป็นของจริงอย่าง ไม่ต้องสงสัยไม่ใช่หุ่นหรือภาพหลอนแต่อย่างใด ความตระหนักรู้นี้ดึงเขากลับมา ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กๆ อีกแล้ว และการอยู่ในห้องเดียวกับศพ แน่นอนว่าชีวิตจะซวยกว่านี้อีกหลายเท่านัก จากคราบเลือด ฆาตกรคงเผ่นหนีไปไกลแล้ว
เขาเอง แม้ไม่ได้ลงมือ แต่หากมีใครถามว่าเข้ามาเจอศพได้ไงคงไม่สวยแน่ ...ใช่แล้ว... ต้องรีบออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด แต่จังหวะที่กำลังจะหันหลังกลับนั้นเอง หนึ่งคำถามวาบขึ้นในใจ
หัวของศพหายไปไหนกัน!?
คิดได้แค่นั้น ร่างกายก็ชะงักงัน ราวกับความมืดในห้องขยายตัวขึ้นอย่างกะทันหัน แสงจันทร์สลัวพอแค่ ให้เห็นศพไร้หัว แต่ไม่สว่างพอสำหรับทั้งห้อง รอบๆจึงเต็มไปด้วยความมืดที่ซ่อนทุกอย่างไว้
ในความมืดตรงข้ามเขา ห่างศพออกไปไม่ไกล ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดให้เพ่งมองเข้าไปในนั้น... ใช่จริงๆ เขารู้สึกตั้งแต่เห็นศพนี่แล้ว ใต้เตียงนั่น อะไรบางอย่างจ้องมองมายังเขาเขม็ง ชายหนุ่มรู้สึกราวกับจ้องดูสัตว์ ที่พร้อมจะกระโจนเข้าใส่เขาได้ทุกเมื่อ ทั้งที่ตรงนั้นเป็นแค่ก้อนความมืดเท่านั้น ไอ้สิ่งน่าขยะแขยงที่อดกลั้นไว้เมื่อครู่ ทะลักทะลายออกมาอีกครั้ง ความกลัวพุ่งทะลักถึงขีดสุด ความคิดสุดท้ายก่อนสติกำลังวูบ เป็นเพียงการคร่ำครวญที่ ไม่เคยมีใครได้ยิน
ทำไม... ทำไมต้องเป็นเรา...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย ระหว่างตอนที่ผมยังเด็ก กับเรื่องเมื่อไม่นานมานี้ แค่ความมืดเท่านั้น
ที่เชื่อมโยงอะไรบางอย่างเอาไว้ แล้วผมก็เข้าใจว่ามันอยากบอกอะไร... มันก็ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก... เปลี่ยนไป มากจริงๆ...."
"แล้วพี่ก็เลยต้องมาอยู่ที่นี่งั้นเหรอ ซวยฉิบหาย" ผู้ร่วมห้องโพล่งขึ้น เมื่อเห็นอดีตนิสิตผู้กลัว ความมืดเงียบไป ก่อนจะถามต่อ "แต่... นึกๆดูแล้ว พี่ก็น่าจะมีหลักฐานแก้ตัวได้นี่ ว่าไม่ได้ลงมือ พวกมันขู่ให้ สารภาพหรือ..."
"ไม่หรอก ผมสารภาพว่าทำเอง...ทั้งหมด... "
ผู้ฟังเบิกตาอย่างงุนงง แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นหวาดหวั่น
“ในที่สุดผมก็เข้าใจ บางสิ่งพยายามบอกใบ้ผมมาตลอด คืนนั้น ผมไปหาเจ้าหนี้สามคน คราวนี้ผมลงมือเอง ...อะไรๆ มันก็ง่ายกว่าที่คิดนะ พอมีตัวอย่างให้เห็นแล้วเนี่ย ”
เงียบงันไปในบรรยากาศนั้นชั่วอึดใจ คู่สนทนาหน้าซีด แต่ชั่วประเดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นหน้าเศร้าๆ ราวกับเวทนาเพื่อนร่วมห้อง เอ่ยปากว่าดึกมากแล้ว และขอตัวนอนอย่างแผ่วเบา
ฝนฟ้าข้างนอกเงียบลง เหลือเพียงเสียงคำรามมาจากที่ไกลๆ และหยดน้ำเปาะแปะนอกชายคา จู่ๆ ชายในมุมมืดผู้นั่งคู้อยู่บนพื้นก็เอ่ยขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้
ทว่าไอ้หนุ่มบนเตียงไม่มีทีท่าอยากฟังคำพูดของเขาเลยสักนิด
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
อากาศเช้านี้อึดอัด แน่นหนัก ไม่เหมือนรุ่งอรุณที่สดใสอย่างปกติ เมฆมากมายบดบังแสงอาทิตย์เอาไว้ เสียสนิท ตึกแถวและร้านค้าหน้าเรือนจำพร้อมใจกันปิดในเช้าวันเสาร์ที่น่านอนเช่นนี้
"ไปแล้วอย่ากลับมาอีกล่ะ ลุง.... โชคดีนะ"
ที่หน้าแพงสูงใหญ่มีการเคลื่อนไหว ประตูที่ใครๆก็ไม่อยากเข้าไป บัดนี้เปิดออก ปรากฏร่างของชายคนหนึ่งยืนเก้กังราวกับคนที่เพิ่งเคยเข้าเมืองหลวงครั้งแรก เขากำลังหันซ้ายหันขวาท่าทางหวาดๆอะไรบางอย่าง เส้นผม มีสีเทาแซมทั่ว ทั้งๆที่ใบหน้ายังไม่เหิ่ยวย่นสักเท่าไหร่นักแต่ดูราวคนอายุสี่ห้าสิบ สาวใช้ที่กลับมาจากการจ่ายตลาดพากัน ซุบซิบเขาเมื่อเดินผ่านอย่างไม่เกรงใจ แล้วรีบสาวเท้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตึงง!!!
ประตูปิดใส่แผ่นหลังของเขาราวกับจะไล่ นั่นเป็นเหมือนสัญญาณให้เจ้าตัวได้สติ
ชายวัยกลางคนผมสีดอกเลา เคลื่อนกายอย่างเชื่องช้าไปตามเงาอาคาร เขาเดินไปหยุดที่ตรอกแคบๆ แล้วหัน มามองเรือนจำด้วยแววตานิ่งไม่บอกความรู้สึกใดๆ พักใหญ่ๆจากนั้นเขาจึงก้าวเท้าต่อไปอย่างเงียบเชียบ
...ก่อนจะถูกกลืนหายเข้าไปในความมืดของตรอกนั้น...
ผลงานอื่นๆ ของ Archy ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Archy
ความคิดเห็น